วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บันทึกครั้งที่ 15

บันทึกครั้งที่ 15

บันทึกการเรียนครั้งที่ 15
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่   13 กุมภาพันธ์ 2557

การดูแลให้ความช่วยเหลือ
-สร้างความภาคภูมิใจในตนเองให้เกิดกับเด็ก
-มองหาจุดดี จุดแข็งของเด็ก และให้คำชมอยู่เสมอ
-ให้การเสริมแรงทางบวก
-รู้จักลักษณะของเด็กที่เป็นสัญญาณเตือน
-วางแผนการจัดทำแฟ้มข้อมูลเกี่้ยวกับการเรียนรู้ของเด็ก
-สังเกตติดตามความสามารถ และการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนของเด็ก 
-IEP
การรักษาด้วยยา
-Ritalin
-Dexedrine
-Cylert
หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
-สำนักงานบริหารการศึกษาพิเศษ(สศศ)
-โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์
-ศูนย์การศึกษาพิเศษ(Early Intervention . EI)
-โรงเรียนเฉพาะความพิการ
-สถาบันราชานุกูล

บันทึกครั้งที่ 14

บันทึกครั้งที่ 14

บันทึกการเรียนครั้งที่ 14
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่    4 กุมภาพันธ์ 2557

การดูแลรักษาและส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

ส่งเสริมความเข้มแข็งครอบครัว (Family Empowerment)
-ครอบครัวมีบทบาทสำคัญที่สุดในการดูแลช่วยเหลือเด็กออทิสติก
ส่งเสริมความสามารถเด็ก (Ability Enhancement)
การส่งเสริมโอกาสให้เด็กได้เล่นของเล่นที่หลากลาย
-ทำกิจกรรมที่หลากหลาย
ส่งเสริมพัฒนาการ (Developmental Intervention)
-ให้เด็กมีพัฒนาการเป็นไปตามวัย
-ส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นที่ล่าช้าควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร สังคม และการปรับพฤติกรรม
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Behavior Modification)
-เพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
-การให้แรงเสริม
แก้ไขการพูด (speech Therapy)
-โดยเฉพาะในรายที่มีพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อความหมายล่าช้า
-ถ้าเด็กพูดได้เร็วโอกาสที่จะมีพัฒนาการทางภาษาใกล้เคียงปกติเพิ่มมากขึ้น
-ลดการการใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม
-ช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดขึ้นจากการไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้
-การสื่อสารความหมายทดแทน (AAC)
การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา (Educational Rehabilitation)
-เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด
-แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
-โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน
ฝึกทักษะสังคม (Social Skills Training)
-ทักษะในชีวิตประจำวัน และฝึกฝนทักษะทางสังคม
-ให้เด็กสามารถทำด้วยตนเองเต็มความสามารถโดยต้องการความช่วยเหลือน้อยที่สุด
การรักษาด้วยยา (Pharmacotherapy)
-Methylphenidate (Ritalin) ช่วยลดอาการไม่นิ่ง /ซน/หุนหันพลันแล่น/ขาดสมาธิ
-Risperidone/Haloperidol ช่วยลดอาการไม่นิ่ง หงุดหงิด หุนหันพลันแล่น พฤติกรรมซ้ำ ๆ พฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง
-ยาในกลุ่ม Anticonvulsant (ยากันชักใช้ได้ผลในรายที่มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง
การแพทย์เสริมและทางเลือก (Complementary and Alternative Medicine)
1. ศิลปะบำบัด (Art Therapy)       
2. ดนตรีบำบัด (Music Therapy)  
3. ละครบำบัด (Drama Therapy)  
4. การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal Therapy)
5. การฝังเข็ม (Acupuncture)         
6. เครื่องเอชอีจี (HEG; Hemoencephalogram)
พ่อ แม่ (Parent)
-“ลูกต้องพัฒนาได้
-“เรารักลูกของเราไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร
-“ถ้าเราไม่รัก ใครจะรัก
-“หยุดไม่ได้
-ดูแลจิตใจและร่างกายของตนเองให้เข้มแข็ง
-ไม่กล่าวโทษตนเองหรือคู่สมรส
-หันหน้าปรึกษากันในครอบครัว

บันทึกครั้งที่ 13

บันทึกครั้งที่ 13

บันทึกการเรียนครั้งที่ 13
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่    28 มกราคม 2557

สอบกลางภาคในคาบเรียน

บันทึกครั้งที่ 12

บันทึกครั้งที่ 12

บันทึกการเรียนครั้งที่ 12
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่    21 มกราคม 2557

พัฒนาการ คือ การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่ และวุฒิภาวะ ของอวัยวะต่างๆ รวมทั้งตัวบุคคล ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ  คือ เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กปกติในวัยเดียวกัน พัฒนาการนี้อาจจะพบเพียงด้านใดด้านหนึ่ง หลายด้าน และพัฒนาการล่าช้าในด้านหนึ่งอาจส่งผลให้พัฒนาการในด้านอื่นล่าช้า ด้วยก็ได้

ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก
-ปัจจัยทางด้านชีวภาพ 
-ปัจจัยด้านกระบวนการคลอด
-ปัจจัยสภาพแวดล้อมหลังคลอด

สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
1.โรคพันธุกรรม มีพัฒนาการล่าช้า ตั้งแต่เกิด หรือสังเกตได้ชั่วระยะไม่นานหลังเกิดมักมีลักษณะผิดปกติแต่กำเนิดร่วมด้วย 
2.โรคระบบประสาท  มักมีอาการ หรืออาการประสาทร่วมด้วย ที่พบบ่อย อาการชัก และความตึงของกล้ามเนื้อผิดปกติ
3.การติดเชื้อ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เด็กมักมีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย ศีรษะเล็กกว่าปกติ อาจมีม้ามโต การได้ยินบกพร่อง  และต้อกระจกร่วมด้วย นอกจากนี้การติดเชื้อรุนแรงภายหลังเกิด เช่น
สมองอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ 
4.ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอลึซึม ไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ
5.ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด 
6.สารเคมี 
7.การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร

อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
1.การซักประวัติ
2.การตรวจร่างกาย
3.การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ
4.การประเมินพัฒนาการ

แนวทางในการดูแลรักษา
1.หาสาเหตุที่่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
2.การตรวจค้นหาความผิดปกติร่วม
3.การรักษาสาเหตุโดยตรง
4.การส่งเสริมพัฒนาการ
5.ให้คำปรึกษากับครอบครัว

สรุปขั้นตอนในการดูแลเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
1.การตรวจคัดกรองพัฒนาการ Developmental Screening
2.การตรวจประเมินพัฒนาการ   Developmental Assessment
3.การให้การวินิจฉัย และหาสาเหตุ Diagnosis
4.การให้การรักษา และส่งเสริมพัฒนาการ Treatment and Early Intervention
5.การติดตาม และ ประเมินผลการรักษาเป็นระยะ Follow Up and Evaluation

บันทึกครั้งที่ 11

บันทึกครั้งที่ 11

บันทึกการเรียนครั้งที่ 11
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่    14 มกราคม 2557

ปิดกรุงเทพ 14 ม.ค. 57 เกาะติดข่าว bangkok shutdown ล่าสุดวันนี้

บันทึกครั้งที่ 10

บันทึกครั้งที่ 10

บันทึกการเรียนครั้งที่ 10
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่    7 มกราคม 2557

อาจารย์แจกใบประเมิน เพื่อให้ประเมินเพื่อน แต่ละกลุ่ม โดยในวันนี้เพื่อนนำเสนอ ด้วยกัน 3กลุ่ม 

กลุ่มที่ 1 คือ ความบกพร่องทางสมองพิการ ( C.P.) คือเด็กที่สมองพิการ (Cerebral Palsy) C.P.ไม่ใช่เป็นโรคเฉพาะ แต่เป็นโรคที่คงที่ ซึ่งมีผลให้การประสานงานของการทำงานของกล้ามเนื้อบกพร่อง ส่งผลให้ ร่างกายและ กล้ามเนื้อ ทรงตัวผิดปกติ เช่นการเกร็งของใบหน้า ลิ้น ลำตัว แขน ขา

กลุ่มเพื่อนนำเสนอความบกพร่องทางสมองพิการ

กลุ่มที่ 2 ความบกพร่องทางการเรียนรู้( LD.) เป็นโรคที่เด็กอยู่ในภาวะบกพร่องการเรียนรู้ เด็กวัยนี้จะเก่งกว่าปกติ หรืออยู่ในระดับปกติ แต่การเรียนรู้จะช้ากว่าเด็กปกติ
สาเหตุที่เกิด 
-พ่อแม่ ญาติพี่น้อง มีประวัติเป็นโรคนี้
-แม่มีอายุน้อยมาก
-น้ำหนักตัวเด็กน้อยมาก
-เด็กมีภาวะบาดเจ็บทางสมองก่อนคลอด หรือหลังคลอด กำหนด
-สภาพแวดล้อมเป็นมลพิษ

กลุ่มเพื่อนำเสนอ ความบกพร่องทางการเรียนรู้

กลุ่มที่ 3 เด็กสมาธิสั้น  คือ เด็กที่ไม่สามารถ นั่งวางแผน  นั่งทำงานให้สำเร็จ ตามเป้าหมายได้ ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ไม่สามารถทำงานที่ใช้ทักษะได้ 
สาเหตุที่เกิด
สมองบางส่วนทำงานน้อยกว่าปกติ  และยังพบอีกว่า แม่ที่สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ในระหว่างตั้งครรภ์ อาจจะมีผลให้สมองของเด็กมีปัญหาในการพัฒนา นอกจากนี้ยังพบว่าสารตะกั่ว น่าจะทำให้เกิดโรคนี้

บันทึกครั้งที่ 9

บันทึกครั้งที่ 9 

บันทึกการเรียนครั้งที่ 9
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่    31 ธันวาคม 2556

วันหยุดปีใหม่

บันทึกครั้งที่ 8

บันทึกครั้งที่ 8

บันทึกการเรียนครั้งที่ 8
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่    24 ธันวาคม 2556


สอบกลางภาค

บันทึกครั้งที่ 7

บันทึกครั้งที่ 7

บันทึกการเรียนครั้งที่ 7
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่    17 ธันวาคม 2556


* ไม่มีการเรียนการสอน * 


( เนื่องจาก ทบทวนบทเรียน เพื่อเตรียมตัวสอบ )

บันทึกครั้งที่ 6

บันทึกครั้งที่ 6

บันทึกการเรียนครั้งที่ 6
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่    10 ธันวาคม 2556



                   วันหยุดรัฐธรรมนูญ

บันทึกครั้งที่ 5

บันทึกครั้งที่ 5

บันทึกการเรียนครั้งที่ 5
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่    3 ธันวาคม 2556

วันนี้อาจารย์แจกเอกสารประกอบการเรียนการสอน และมอบหมายงานให้แต่ละกลุ่มเตรียมตัวนำเสนอหัวข้อที่กลุ่มของตนเองจับฉลากได้ในสัปดาห์ต่อไป

*เนื่องจากอุปกรณ์ในห้องเรียนมีปัญหาจึงไม่มีการเรียนการสอนแต่ได้มอบหมายงานแทน*

บันทึกครั้งที่ 4

บันทึกครั้งที่ 4

บันทึกการเรียนครั้งที่ 4
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่    26 พฤศจิกายน 2556

เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
Children with Behavioral and Emotional Disonders

-ควบคุมอารมณ์ให้ปกตินานๆไม่ได้
-ควบคุมพฤติกรรมตนเองไม่ได้
-ทำให้ไม่สามารถอยู่กับคนอื่นได้อย่างเรียบร้อย

แบ่งได้ 2 ประเภท
1.ได้รับความกระเทือนทางอารมณ์
2.ปรับเข้ากับสังคมไม่ได้

ข้อสังเกตุว่าบกพร่องหรือไม่
-สภาพแวดล้อม
-ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล

ผลกระทบต่อเด้ก
-ไม่สามารถเรียนหนังสือได้
-พฤตืกรรมไม่เหมาะสม
-คับข้องใจ เก็บกด
-แสดงอาการทางร่างกาย
-มีความหวาดกลัว

เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์(รุนแรงมาก)

AMHD = สมาธิสั้น (Children with Attention Deticit and Hyperactivity Disorders)

สมาธิสั้น
-ไม่นิ่ง ซน ต้องเคลื่อนไหว ต้องเดิน วิ่ง ปืนป่าย รื้อของ
-หุนหันพลันแล่น

มีปัญหาด้านการเรียนรู้ (Chi;drn with learning osobility)
-มีปัญหาด้านกานเรียนรู้ อ่าน พูด เขียน
-ไม่รวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อย

ลักษณะ
-ไม่เก่งคณิต ไม่รุ้จัก +- นับเลขไม่เป็น
-ไม่รู้จักซ้าย ขวา
-เรียงลำดับเหตุการณ์ไม่ได้
-มีปัญหา อ่าน เขียน
-ซุ่มซ่าม
-ติดกระดุมไม่ได้
-เอาแต่ใจตนเอง

บันทึกครั้งที่ 3

บันทึกครั้งที่ 3

บันทึกการเรียนครั้งที่ 3
วิชา     การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
ผู้สอน อาจารย์ตฤณ    เเจ่มถิ่น
วันที่    19 พฤศจิกายน 2556

 เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และสุขภาพ และเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด และ ภาษา

1.เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และสุขภาพ (lChildren with Physical and Health  Impairments) มีดังนี้ คือ
1.1 เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
1.2อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
1.3มีปัญหาทางระบบประสาท
1.4มีความลำบากในการเคลื่อนไหว

เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และสุขภาพ  สามารถจำแนกได้ 2 ประเภท  
1.1อาการบกพร่องทางร่างกายคือ
- เด็กซีพี (Cerebral Palsy) มีลักษณะ คือ อัมพาต สมองพิการ หรือ สมองที่กำลังถูกพัฒนาก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด
- การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพีมีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่างๆของสมองแตกต่างกัน 

อาการของโรค
- อัมพาตเกร็งแขนขา หรือ ครึ่งซีก (Spastic)
-อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Atnetoid)
-อัมพาตสูญเสียการทรงตัว (Ataxia)
-อัมพาตตึงแข็ง (Regid)
-อัมพาตแบบผสม (Mixed)

กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy)
-เกิดจากเส้นประสาทสมองควบคุมกล้ามเนื้อ ส่วนนั้นๆ เสื่อมสลายตัว
-เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้  นอนอยู่กับที่ 
-จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม

โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ  (Orthopedic)

คือ ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อน เนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
-ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่นวัณโรค กระดูก  หลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนองเศษกระดูกผุ
-กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ

โปลิโอ (Polimyelitis)

มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
-ยืนไม่ได้หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสร

ความบกพร่องทางสุภาพ
โรคลมชัก (Epilepsy)
เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องจากความผิดปกติของระบบสมอง มีดังนี้
-ลมบ้าหมู (Grand Mal) เมื่อเกิดอาการชัก จะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึก ในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น
-การชักในช่วงเวลาสั้นๆ(Petit Mal)
มีอาการ ชักชั่วระยะสั้นๆ5-10 วินาที  เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงัก ในท่าก่อนชัก เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
-การชักแบบรุนแรง ( Grand Mal) เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราวๆ 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และ นอนหลับไปชั่วครู่

-อาการชักแบบ (Partial Complex) เกิดอาการเป็นระยะๆ กัดริมฝีปาก ไม่รู้สึกตัว ถูตามแขนขา เดินไปมา บางคนอาจจะเกิดความโกรธ หรือโมโห หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องนอนพัก
-อาการแบบไม่รู้ตัว (Focal Partial) เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง  ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
-มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
-ท่าเดินคล้ายกรรไกร
-เดินขากะเผลก หรือ อึดอาดเชื่องช้า
-ไอเสียงแห้งบ่อยๆ
-มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
-หน้าแดงง่าย  มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปาก หรือ ปลายนิ้ว 
-หกล้มบ่อยๆ
-หิวและกระหายน้ำอย่างเกินกว่าเหตุ




2.เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด และภาษา (Children with Speech and Language Disorders) เด็กที่พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน อวัยวะที่ใช้ในการพูด ไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้น  การใช้อวัยวะเพื่อการพูด ไม่เป็นไปดังตั้งใจ มีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูด

2.1ความผิดปกติด้านการออกเสียง
-ออกเสียงผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานของภาษาเดิม 
-เพิ่มหน่วยเสียงเข้าในคำโดยไม่จำเป็น
-เอาเสียงหนึ่งมาแทนอีกเสียงหนึ่ง เช่น กวาด  เป็นฟาด
2.2ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูด เช่น การพูดรัว การพูดติดอ่าง
2.3ความผิดปกติด้านเสียง มีดังนี้
-ระดับเสียง 
-ความดัง
-คุณภาพของเสียง
2.4 ความผิดปกติทางการพูด และภาษาอันเนื่องมาจาก พยาธิ สภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า (Dysphasia หรือ aphasia) มีดังนี้
2.4.1 Motor aphasia 
- เด็กที่เข้าใจคำถาม หรือคำสั่ง แต่พูดไม่ได้ ออกเสียงลำบาก 
-พูดช้าๆพอพูดตามได้บ้างเล็กน้อย บอกชื่อสิ่งของพอได้
-พูดไม่ถูกไวยากรณ์
2.4.2 Wernicke 's apasia 
-เด็กที่ไม่เข้าใจคำถาม หรือคำสั่งได้ยินแต่ไม่เข้าใจ ความหมาย
-ออกเสียงไม่ติดขัด แต่มักใช้คำผิดๆ หรือใช้คำอื่นซึ่งไม่มีความหมายมาแทน
2.4.3 Conduction aphasia 
-เด็กที่ออกเสียงได้ไม่ติดขัด เข้าใจคำถามดี แต่พูดตาม หรือ บอกชื่อสิ่งของไม่ได้ มักเกิดร่วมไปกับอัมพาตของร่างกายซีกขวา
2.4.4 Nominal aphasia 
-เด็กที่ออกเสียงได้ เข้าใจคำถามดี พูดตามได้ แต่บอกชื่อวัตุไม่ได้เพราะลืมชื่อ บางทีก็ไม่เข้าใจความหมายของคำ มักเกิด ร่วมไปกับ Gerstmann's syndrome
2.4.5 Global aphasia 
-เด็กที่ไม่เข้าใจทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน 
-พูดไม่ได้เลย
2.4.6 Sensory agraphia 
-เด็กที่เขียนเองไม่ได้ เขียนตอบคำถาม หรือ เขียนชื่อวัตถุ ก็ ไม่ได้ มักเกิดร่วมกับ Gerstmann's syndrome
2.4.7 Motor agraphia 
-เด็กที่ลอกตัวเขียน หรือ ตัวพิมพ์ ไม่ได้
-เขียนตามคำบอกไมได้
2.4.8 Cortical alexia 
-เด็กที่อ่านไม่ออก เพราะไม่เข้าใจภาษา
2.4.9 Motor alexia
-เด็กที่เห็นตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ เข้าใจความหมาย แต่อ่านออกเสียงไม่ได้
2.4.10 Gerstmann's syndrome
-ไม่รู้ชื่อนิ้ว (Finger agnosia)
-ไม่รู้ชี้ซ้ายขวา (Allochiria)
-คำนวณไม่ได้ (Acalculia)
-เขียนไม่ได้ (Agraphia)
-อ่านไม่ออก(Alexia)
2.4.11 Visual agnosia 
-เด็กที่มองเห็นวัตถุ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร บางทีบอกชื่อนิ้วตัวเองไม่ได้
2.4.12 Auditory agnosia
- เด็กที่ไม่มีความบกพร่องทางการได้ยิน แต่แปลความหมายของคำ หรืือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
-ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆ และอ่อนแรง
-ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10เดือน
-ไม่พูดภายในอายุ 2ขวบ
-หลัง 3 ขวบ แล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
-ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
-หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถาศึกษา
-มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
-ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย